สื่อมวลชนต้องนำผู้คนใช้มารู้จักพระคริสตเจ้า
เมื่อวันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2013
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงต้อนรับสมาชิกสมณสภาสื่อสารสังคม สันตะสำนัก
โอกาสเข้าเฝ้า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมประจำปี ในหัวข้อ “การประกาศพระวรสารด้วยโซเชียลมีเดีย” โดยการเข้าเฝ้าครั้งนี้พระอัครสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์
เกียงศักดิ์ โกวิทวาณิช และอาจารย์ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย จากประเทศไทย
เข้าร่วมด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงมีพระดำรัสว่า “เป้าหมายของพระศาสนจักรในเรื่องของสื่อมวลชนคือความพยายามที่จะเข้าให้ถึงความต้องการ
ความสงสัย และความหวังของประชาชน”
พระองค์ตรัสว่า
เราต้องพิจารณาว่าการสื่อสารของพระศาสนจักรสามารถช่วยนำผู้อื่นให้เข้ามาหาพระคริสตเจ้าได้อย่างไร
“ความท้าทายอยู่ที่ว่า
อาศัยสื่อมวลชนและการสัมผัสกับผู้อื่นเป็นการส่วนตัว
เราจะค้นให้พบกับความงามที่เป็นศูนย์กลางแห่งการมีชีวิตและการเดินทางในโลกนี้ของเราได้อย่างไร
ความงามดังกล่าวคือความเชื่อและการที่ได้พบพระคริสตเจ้า”
พระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย
ขอต้อนรับและขอบใจทุกคนสำหรับผลงานและการอุทิศตนในงานสื่อซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมาก
แต่หลังจากที่ได้สนทนากับพระอัครสังฆราชเชลลีแล้ว ข้าพเจ้าต้องของเปลี่ยนคำว่า “ปัจจัย” อันได้แก่สื่อมวลชน เป็น “มิติแห่งชีวิต” ที่มีความสำคัญมาก
ข้าพเจ้าขอขอบคุณพระอัครสังฆราชเกลาดีโอ มารีอา เชลลี
เป็นพิเศษสำหรับคำกล่าวต้อนรับข้าพเจ้าในนามของพวกท่านทุกคน ข้าพเจ้าขอแบ่งปันความคิดบางประการกับท่านดังต่อไปนี้
ประการแรกคือความสำคัญของสื่อมวลชนสำหรับพระศาสนจักร
ปีนี้เป็นปีที่ห้าสิบของสมณกฤษฎีกาว่าด้วยเครื่องมือแห่งสื่อมวลชน (Inter
Mirifica) การเฉลิมฉลองครบ 50
ปีในปีนี้เป็นอะไรที่มากไปกว่าการรำลึกถึง สมณกฤษฎีกาดังกล่าวแสดงถึงความใส่ใจของพระศาสนจักรที่มีต่อสื่อและเครื่องไม้เครื่องมือต่าง
ๆ ของสื่อ ซึ่งมีความหมายมากเช่นเดียวกันในการประกาศพระวรสาร
แต่หากจะว่ากันถึงเครื่องมือต่าง ๆ ของสื่อสารแล้ว การสื่อสารมิใช่เป็นเครื่องมือ! แต่เป็นสิ่งพิเศษกว่านั้น ในสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เครื่องมือต่าง ๆ
ของการสื่อสารได้พัฒนาตัวเองขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ความห่วงใยของพระศาสนจักรก็ยังเป็นเช่นเดิม นั่นคือ
การใช้รูปแบบและการแสดงออกชนิดใหม่ ๆ โลกของสื่อยิ่งวันนับแต่จะกลายเป็น “สิ่งแวดล้อมทรงชีวิต” ยิ่งขึ้นทุกที สำหรับผู้คนเป็นอันมาก
มันกลายเป็นเครือข่ายที่ผู้คนสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
สามารถขยายขอบเขตแห่งความรู้และความสัมพันธ์กันอย่างน่าเหลือเชื่อ (เทียบ
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิก ที่ 16 สาส์นวันสื่อมวลชนสากล ค.ศ. 2013)
ข้าพเจ้าขอเน้นให้เห็นถึงจุดดีต่าง ๆ เหล่านี้ แม้เราต่างตระหนักดีถึงข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงต่าง
ๆ ที่มีอยู่เช่นกัน
ประการที่สอง
เราต้องถามตัวเองว่า พระศาสนจักรต้องมีบทบาทอะไรในแง่ของแนวทางปฏิบัติของการสื่อสาร?
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ในทุกเหตุการณ์ที่ไม่ไกลเกินกว่าเรื่องเทคโนโลยีแล้ว
เป้าหมายคือต้องเข้าใจว่าจะเข้าถึงการเสวนากับพี่น้องชายหญิงยุคนี้ได้อย่างไร
ทั้งนี้เพื่อที่จะเข้าใจถึงความปรารถนา ความสงสัย และความหวังของพวกเขา
เพราะชายหญิงยุคนี้บางครั้งพวกเขามีความรู้สึกว่าคริสตศาสนาทำให้พวกเขาผิดหวังที่ไม่บังเกิดผลในด้านการสื่อสาร
ศาสนาดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ และต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อสื่อความหมายเชิงลึกว่าความเชื่อได้ให้อะไรกับพวกเขาบ้าง
อันที่จริงเราก็เห็นตัวอย่างมากมายทุกวันนี้ซึ่งเป็นยุคของโลกาภิวัตน์ว่า
ผู้คนกำลังสับสนและพากันห่างเหินศาสนาเพิ่มขึ้น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องเรียนรู้ที่จะเสวนาและเข้าไปหาพวกเขาด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์คและด้วยเทคโนโลยีใหม่
ๆ อาทิ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรารับฟัง พูดคุย และให้กำลังใจพวกเขา
จงอย่ากลัวที่จะมีตัวตนโซเชียลเน็ตเวิร์ค
จงประกาศอัตลักษณ์แห่งการเป็นคริสตชนของท่าน
เหมือนที่พวกท่านได้กลายเป็นเป็นพลเมืองในโซเชียลเน็ตเวิร์คไปแล้ว พระศาสนจักรก้าวเดินบนหนทางนี้และเรียนรู้ถึงวิธีการที่พูดคุยและเดินทางไปพร้อมกับทุกคน
แล้วก็ยังมีกฎเก่าแก่ของนักเดินทางที่นักบุญอิกญาซีโอกล่าวไว้ด้วย
และนี่คือเหตุที่ข้าพเจ้าทราบในกฎข้อหนึ่ง ท่านกล่าวว่า
ไม่ว่าใครที่ร่วมไปกับนักเดินทางผู้หนึ่ง เราต้องเดินควบคู่ไปด้วยกัน
ไม่ใช่เดินไปล่วงหน้า หรือรั้งท้าย และนี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าหมายถึง
เราต้องเป็นพระศาสนจักรที่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปกับประชากรของยุคนี้อย่างไร
กฎของนักเดินทางจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจเราได้
ประการที่สาม
เป็นการท้าทายที่เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับสังคมของโลกโซเชียลเน็คเวิร์ค
ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี แต่อยู่ที่เรามีความสามารถที่จะนำพระคริสตเจ้าเข้าไปประกาศในพื้นที่นี้ไหม
หรือยิ่งกว่านั้นเรามีความสามารถมากพอที่จะนำคนในนั้นมาพบกับพระคริสตเจ้าได้ไหม?
การเดินทางร่วมกับผู้คนตลอดชีวิตของพวกเขา
เราต้องนึกถึงตอนที่พระเยซูร่วมเดินทางกับผู้เดินทางที่เอมมาอุส คือ
เตือนใจพวกเขาและนำเขาไปสู่พระเจ้า
เราสามารถที่จะสื่อพระพักตร์ของพระศาสนจักรที่สามารถเป็น “บ้าน” กับทุกคนได้ไหม? สมัยก่อนเราพูดเรื่องพระศาสนจักรในประตูที่ปิด
แต่ตอนนี้โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นมากกว่านั้น เป็นการพบ “บ้าน” ด้วยกัน และเป็นการสร้าง “บ้าน” เป็นการสร้างพระศาสนจักร เป็นการสร้างพระศาสนจักรในขณะที่เรากำลังเดินทาง
มันเป็นการท้าทาย!
เป็นการนำที่ก่อให้เกิดการค้นพบโดยอาศัยเครื่องมือสื่อสารมวลชนและการสัมผัสแบบส่วนตัว
สัมผัสกับความงดงามซึ่งเป็นหัวใจแห่งการมีชีวิตและการเดินทางของเรา เป็นความงามแห่งความเชื่อ
เป็นความงามที่ได้สัมผัสกับพระคริสตเจ้า แม้ในบริบทของสื่อมวลชน
พระศาสนจักรต้องสร้างความอบอุ่นเพื่อที่จะทำให้ดวงใจของผู้คนอบอุ่น การดำเนินชีวิตและแผนการของเราตอบสนองต่อความต้องการนี้หรือเปล่า
หรือว่าเรายังจมปลักอยู่กับเรื่องเทคนิค? เรามีขุมทรัพย์ประเสริฐที่จะต้องมองให้ผู้อื่น
เป็นขุมทรัพย์ที่ประทานให้ทั้งความสว่างและความหวัง
เป็นขุมทรัพย์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เรียกร้องให้ต้องมีการอบรมด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างดีในประเด็นนี้สำหรับพระสงฆ์
นักบวชชายหญิง และฆราวาส โลกดิจิตอลไม่เพียงแต่หมายถึงเทคโนโลยีเท่านั้น
แต่กอปรด้วยพี่น้องหญิงที่จะสื่อออกไปถึงสิ่งที่อยู่ภายในตัวพวกเขา นั่นคือ
ความหวัง ความทุกข์ ความห่วงใย การแสวงหาความจริง ความสวยงาม และความดี
เราจำเป็นต้องแสดงให้ผู้คนรู้จักพระคริสตเจ้าและนำพระองค์ไปยังผู้อื่นพร้อมกับแบ่งปันความชื่นชมและความหวังกับพวกเขา
เฉกเช่นแม่พระผู้ทรงนำพระคริสตเจ้ามาสู่ดวงใจของทุกคน
เราจำเป็นต้องข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความเย็นชาโดยไม่หลงทาง เราจำเป็นต้องเข้าไปสู่ราตรีที่บอดมืดที่สุดโดยไม่แพ้และไม่เสียกำลังใจ
เราจำเป็นต้องฟังความผิดหวังของผู้คนมากมายโดยไม่เผลอตัวถูกหลอกไปตามเขา เราจำเป็นต้องแบ่งปันความผิดหวังของพวกเขาโดยไม่หมดกำลังใจ
ต้องเห็นใจกับคนที่ชีวิตกำลังแตกสลายโดยไม่สูญเสียพลังและอัตลักษณ์ของตนเอง (เทียบ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระดำรัสต่อบรรดาพระสังฆราชชาวบราซิล วันที่ 27 กรกฎาคม
ค.ศ. 2013, n.4) เหล่านี้คือการท้าทาย
มิตรสหายที่รัก
ความห่วงใยและการประทับอยู่ของพระศาสนจักรในโลกโซเชียลเน็คเวิร์คเป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่จะทำการเสวนากับพี่น้องชายหญิงทุกวันนี้เพื่อที่จะนำพวกเขาให้ได้สัมผัสกับพระคริสตเจ้า
ทว่าการพบปะกับพระคริสตเจ้าจะต้องเป็นการพบกันแบบส่วนตัว ต้องไม่มีการใช้เล่ในการพบปะกันดังกล่าว
ในช่วงระยะหลัง ๆ นี้เราเห็นมีการประจญมากมายในพระศาสจักรซึ่งเป็นการโจมตีฝ่ายจิตวิญญาณและการทำให้มโนธรรมไขว้เขว
มันเป็นการล้างสมองเชิงเทววิทยาซึ่งในที่สุดนำพาผู้คนให้สัมผัสกับพระคริสตเจ้าแบบผิวเผิน ไม่ใช่พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระบุคคลที่ทรงชีวิตอย่างแท้จริง
การที่ผู้คนคนจะสัมผัสกับพระคริสตเจ้า ทั้งพระคริสตเจ้าและพระผู้ที่เป็นบุคคลจะต้องควบคู่กันไป
ไม่ใช่สิ่งที่ “วิศวกรฝ่ายจิต” ต้องการ
คือทำให้ประชาชนสับสน นี่คือการท้าทาย เพื่อทำให้เกิดมีการสัมผัสกับพระคริสตเจ้าในความเข้าใจสมบูรณ์
เราเองนั่นแหละคือเครื่องมือของสื่อแห่งเทคโนโลยีล่าสุด
แต่ปัญหาพื้นฐานไม่ใช่การแสวงหาเทคโนโลยีล่าสุด แม้จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับยุคนี้
เป็นความจำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจให้ชัดเจนว่า พระเจ้าที่เราเชื่อ
ซึ่งรักราทุกคนอย่างล้นพ้น
ทรงต้องการที่จะแสดงพระองค์โดยอาศัยเครื่องมือที่มีอยู่ในมือของเรา
แม้ว่าเครื่องมือดังกล่าวจะยังไม่ทันสมัยก็ตาม เพราะว่าเป็นพระองค์เองที่ทรงทำงาน
ที่ทรงเปลี่ยน และเป็นพระองค์เองที่พวกเรารับใช้
ขอให้เราทุกคนภาวนาวิงวอนพระเจ้าเพิ่มความร้อนรนให้กับหัวใจของเราและประทานให้เรามั่นคงยืนหยัดในพันธกิจแห่งการนำพระองค์ไปสู่โลก
ข้าพเจ้าขอคำภาวนาจากท่านด้วยเพราะว่านี่คือพันธกิจของข้าพเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน
ขออำนวยพรมายังทุกคน
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น