สมณสภาสื่อสารสังคม สันตะสำนัก
สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
โอกาสวันสื่อมวลชนสากล ครั้งที่ 49
“การสื่อสารในครอบครัว : สถานที่พิเศษที่จะได้สัมผัสกับพระพรแห่งความรัก”
พระสังฆราชกิตติคุณยอร์ช ยอด พิมพิสาร, C.Ss.R. ถอดความ
พี่น้องชายหญิง ที่รัก
เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องที่พระศาสนจักรพิจารณา
ซึ่งเกี่ยวโยงถึงการประชุมสมัชชาสองครั้ง กล่าวคือ
การประชุมวิสามัญและการประชุมสามัญ ซึ่งกำหนดไว้ในเดือนตุลาคมที่จะมาถึง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเหมาะสมที่จะให้หัวข้อฉลองวันสื่อมวลชนสากลเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว
อันที่จริงแล้วในบริบทของครอบครัวเป็นเรื่องแรกที่เราได้เรียนรู้
โดยเชื่อมโยงกับครอบครัว
การเน้นบริบทนี้สามารถช่วยให้สื่อมวลชนของเราเป็นที่น่าเชื่อถือได้และมีมนุษยธรรม
เราสามารถได้รับการดลใจจากข้อความพระวรสาร
จากการที่พระมารดามารีย์ไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธ (ลูกา 1:39-56) “เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น
นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า ‘เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ
และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย’ ”
ก่อนอื่น
เหตุการณ์นี้แสดงให้เราเห็นว่า การสื่อสารต้องควบคู่ไปกับการเสวนา พร้อมกับการใช้ภาษาร่างกาย
การตอบสนองแรกต่อการทักทายของพระนางมารีย์ เป็นทารกที่เป็นผู้ให้
ด้วยการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยความยินดีในครรภ์ของนางเอลีซาเบธ
ความยินดีที่ได้พบผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ก่อนเกิด
นับเป็นอวัยวะที่เป็นรูปแบบและเครื่องหมายของสื่อในรูปแบบอื่นๆ
ครรภ์ต้อนรับเราเป็นโรงเรียนแรกของการสื่อสาร เป็นที่สำหรับฟังและการสัมผัสด้วยร่างกาย
เป็นการสัมผัสของร่างกาย ซึ่งทำให้เราคุ้นเคยกับโลกภายนอกในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการปกป้อง
พร้อมกับเสียงหัวใจเต้นของมารดา การพบปะระหว่างบุคคลสองคนนี้เกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่เป็นคนละคนกัน การสัมผัสที่เปี่ยมด้วยคำมั่นสัญญา
เป็นการสัมผัสครั้งแรกของเรากับสื่อ เป็นประสบการณ์ที่เรามีส่วนร่วมด้วย เหตุว่าเราแต่ละคนเกิดมาจากมารดา
แม้เราจะได้เข้ามาในโลกก็ตาม
เราก็คล้ายกับว่ายังอยู่ในครรภ์ของมารดา ซึ่งก็คือครอบครัวนั่นเอง
ครรภ์ประกอบไปด้วยบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวพันกันเป็นครอบครัว
ซึ่งประกอบไปด้วยหลายบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน ครอบครัวคือสถานที่ที่เราเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตด้วยกันในความแตกต่าง
(Evangelii Gaudium, 66) แม้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของเพศและวัยระหว่างพวกเขาก็ตาม
สมาชิกในครอบครัวยอมรับกันและกัน เหตุว่ามีความเกี่ยวพันระหว่างพวกเขา
การมองความสัมพันธ์ต่างๆ เหล่านี้ และยิ่งมีความแตกต่างด้านอายุ
ความแตกต่างในการดำเนินชีวิตที่หลากหลาย เรามิได้สร้างภาษาต่างๆ ขึ้นมา
แต่เราใช้ภาษาต่างๆ ได้เพราะเราได้รับมาในครอบครัวนั่นเองที่เราเรียนรู้ ที่จะพูด “ภาษาแม่ของเรา”
เป็นภาษาของผู้ที่เราได้มาจากปู่ย่าตาทวดของเรา (ดู 2 มัคคาบี 7:25,27) ในครอบครัวเราจึงสำนึกได้ว่ามีผู้อื่นอยู่ก่อนเรา
พวกท่านทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ และเมื่อถึงเวลาก็ผลิตชีวิตขึ้นมา และช่วยให้เรากระทำสิ่งที่ดีและงดงาม
เราให้ได้เพราะเราได้รับมา วงจรแห่งความดีงามคือหัวใจของครอบครัว
ช่วยครอบครัวถ่ายทอดให้แก่สมาชิกและกับผู้อื่น
ในวงที่กว้างกว่าครอบครัวเป็นรูปแบบขั้นพื้นฐานของสื่อ
ประสบการณ์กับความสัมพันธ์
ซึ่งมาก่อนหน้าเราช่วยให้ครอบครัวเป็นเวทีที่สื่อขั้นพื้นฐานได้เริ่มต้นขึ้น
ซึ่งก็คือการภาวนา ได้รับการถ่ายทอดมาเมื่อบิดามารดาทำให้ทารกที่เกิดใหม่นอนหลับ
พวกท่านมักจะมอบหมายให้กับพระเจ้า วอนขอพระองค์ให้ช่วยดูแลลูกๆ ของท่าน เมื่อเด็กๆ
เติบโตขึ้นสักหน่อยบิดามารดาก็ช่วยให้เขาสวดบทภาวนาง่ายๆ คิดถึงผู้อื่นด้วยความรัก
เช่น ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้อง คนป่วยและคนที่เจ็บปวด
และทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ภายในครอบครัวของเรานี่เองที่เราเรียนรู้ถึงมุมมองเกี่ยวกับศาสนาในสื่อ
ซึ่งในกรณีของคริสตศาสนาจะเปี่ยมด้วยความรัก ความรักที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เราและเรามอบให้แก่ผู้อื่นต่อไป
ในครอบครัว
เราเรียนรู้ถึงการโอบกอดและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรียนรู้การทำหน้าทำตา
และเมื่อไรเราควรเงียบ เมื่อไรควรหัวเราะหรือร้องไห้ กับผู้ที่เรายังไม่เลือกกันและกัน
แต่ก็มีความสำคัญแก่กันและกันมาก สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า “สื่อ”
หมายถึงการสังเกตเห็นและการสร้างความใกล้ชิด เมื่อค่อยๆ
ขจัดการอยู่ห่างไกลด้วยการเข้าหากันให้ใกล้ชิดมากขึ้น และยอมรับซึ่งกันและกัน
เรารู้สึกขอบใจและมีความชื่นชมยินดี
คำทักทายของพระนางมารีย์และการปลุกบุตรของเอลีซาเบธให้เคลื่อนไหว
ซึ่งตามมาด้วยบทสรรเสริญ “วิญญาณข้าพเจ้าถวายสดุดี”
ซึ่งเป็นบทที่พระนางมารีย์สรรเสริญแผนการแห่งความรักของพระเจ้าสำหรับพระนางและสำหรับประชาชน
คำว่า “ยินดีน้อมรับ” ที่กล่าวด้วยความเชื่อสามารถก่อให้เกิดสิ่งที่เรามิได้คาดคิดในโลก
การเยี่ยมคือการเปิดประตู มิใช่ปิดประตู เก็บตัวอยู่ในโลกเล็กๆ ของเราเอง
แต่ออกไปหาผู้อื่น เช่นเดียวกันครอบครัวจะมีชีวิตเมื่อออกจากโลกเล็กๆ ของตัวเอง
ครอบครัวที่กระทำดังนี้ ก็คือครอบครัวที่ให้สาสน์แห่งชีวิตและความเป็นหนึ่งเดียวกันแก่โลก
มากกว่าที่อื่น
ครอบครัวเป็นที่ซึ่งเราสัมผัสทุกวันกับความมีขอบเขตของเราและของผู้อื่น
เรามีปัญหาทั้งใหญ่และเล็กในการอยู่อย่างสันติกับผู้อื่น
เป็นปัญหาใหญ่หรือเล็กที่เราต้องเผชิญในการดำเนินชีวิตอย่างสันติ
เผชิญกับปัญหาเล็กหรือใหญ่ ซึ่งมาจากการอยู่กับผู้อื่นในสันติ ครอบครัวที่เรารักกันและกันต่อไป
แม้เราจะมีข้อบกพร่องและบาป ซึ่งกลายเป็นโรงเรียนแห่งการให้อภัย
ครอบครัวที่ดีครบทุกอย่างนั้นไม่มี เราไม่ควรหวาดกลัวความไม่ดี ความอ่อนแอ หรือแม้การกระทบกระทั่งกัน
แต่พยายามแก้ไขให้เผชิญกับปัญหา แต่ในด้านบวก ครอบครัวที่เราพยายามรักกันและกันจะกลายเป็นกรอบที่ให้อภัย
การให้อภัยนับว่าเป็นขบวนการของสื่อ
เมื่อความเสียใจได้แสดงออกมาและได้รับการให้อภัย เด็กๆ
ที่ได้เรียนจากครอบครัวให้รับฟังผู้อื่น พูดอย่างนบนอบ
และแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่ลืมฟังผู้อื่น จะเป็นพลังสำหรับการเสวนาและการคืนดีกันในสังคม
เมื่อกล่าวถึงเรื่องการท้าทายของสื่อ
ครอบครัวที่ลูกหนึ่งคนหรือมากกว่าที่ร่างกายไม่ปกติมีบทเรียนที่จะสอนเราได้มาก
หากมีเด็กที่มีปัญหาทางสมอง อาจเป็นเหตุผลให้เราพิจารณาตัวเราเองอย่างใกล้ชิด
แต่เพราะความรักของบิดามารดา เขาอาจเป็นเด็กและเพื่อน เป็นโอกาสให้เปิดใจ
และติดต่อกับผู้อื่นได้ทุกคน และยังสามารถช่วยโรงเรียนจัดและให้กลุ่มต่างๆ
เปิดใจแบ่งปันและพร้อมที่จะสัมผัสกับทุกคนที่จะต้อนรับและเป็นสื่อกับทุกคน
ในโลกที่ผู้คนมักจะใช้คำด่า
หรือภาษาสกปรก กล่าวร้ายต่อผู้อื่น ยุให้ทะเลาะกัน และใส่พิษร้ายแห่งการนินทา
ครอบครัวอาจช่วยสอนเราให้เข้าใจว่าสื่อคือพรสวรรค์ ในที่ซึ่งมีแต่ความเกลียดชังและความรุนแรง
ครอบครัวแตกแยกกันโดยมีกำแพงหิน หรือกำแพงอคติและความเคียดแค้น
ในที่ซึ่งมีเหตุผลเพียงพอที่จะกล่าว “พอกันที” อาศัยการให้พรแทนที่จะสาปแช่ง
การไปเยี่ยมแทนแสดงซึ่งความเกลียดชัง ในที่ซึ่งมีเหตุผลพอที่จะกล่าวว่า
“พอกันเสียที” เราต้องใช้การให้พรแทนที่จะสาปแช่ง การไปเยี่ยมแทนการหลบหน้า
การให้พระดีกว่าที่จะสาปแช่ง ที่เราสามารถหยุดความชั่วที่เพิ่มมากขึ้น
ให้แสดงว่าความดีนั้นมีขึ้นได้เสมอ และพยายามสอนลูกๆ ของเราให้เน้นเรื่องมิตรภาพ
ในปัจจุบัน
สื่อสมัยใหม่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตสำหรับผู้เยาว์วัยโดยเฉพาะ สามารถช่วยหรือขัดขวางสื่อในและระหว่างครอบครัว
สื่อสามารถจะเป็นอุปสรรค หากสื่อกลายเป็นหนทางที่หลบหลีกการรับฟังผู้อื่น
พยายามหลีกการสัมผัส หาเรื่องมาพูดในช่วงเวลาที่เงียบและพักผ่อน
จนเราลืมว่าความเงียบเป็นสิ่งสำคัญในสื่อ หากไม่มี วาจาที่มีคุณค่าก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
(สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 สาส์นวันสื่อมวลชนสากล ค.ศ. 2012) สื่อมวลชนสามารถช่วยสื่อเพื่อช่วยให้ประชาชนแบ่งปันเรื่องราวของเขา
เพื่อติดต่อกับมิตรที่อยู่ไกล เพื่อขอบคุณผู้อื่น หรือแสวงหาการให้อภัย
และเปิดประตูพบคนใหม่ การเติบโตแต่ละวันในความสำนึกว่า เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสัมผัสกับผู้อื่น
ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่เป็นไปได้
เราจะใช้เทคโนโลยีอย่างเฉลียวฉลาดแทนที่จะให้สื่อมวลชนมาครอบงำเรา ในที่นี้ด้วยที่บิดามารดาเป็นผู้สอนรุ่นแรกๆ
แต่ปล่อยไว้ตามเรื่องไม่ได้
ชุมชนคริสตชนได้รับการเรียกร้องให้ช่วยท่านในการสอนลูกๆ
ให้รู้จักเจริญชีวิตในท่ามกลางสื่อสารมวลชนให้สอดคล้องกับศักดิ์ศรีของมนุษย์
และรับใช้คุณความดีของส่วนรวม
สิ่งท้าทายที่เราต้องเผชิญในปัจจุบันก็คือ
การเรียนรู้ที่จะพูดคุย มิใช่เพียงเป็นการผลิตและนำสื่อไปใช้เท่านั้น
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนสมัยใหม่ซึ่งมีอิทธิพลควรได้รับการสนับสนุน ข้อมูลต่างๆ
ล้วนมีความสำคัญ แต่ไม่พอเพียง บ่อยครั้งมีการจัดให้เป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยาก
การแสดงออกซึ่งแนวความคิดต่างๆ และความเห็นต่างๆ ถูกนำเอามารวมกัน
และผู้คนได้รับเชิญให้เข้าข้างใดข้างหนึ่ง แทนที่จะมองดูสถานการณ์ในแนวรวม
สรุปก็คือ
ครอบครัวมิใช่สิ่งที่โต้เถียงกันหรือเป็นที่เผชิญหน้ากันในด้านความคิด
แต่เป็นสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยให้เราสื่อเกี่ยวกับความใกล้ชิด เป็นสถานภาพที่การสื่อสารเกิดขึ้น
หรือ “กลุ่มชนที่สื่อต่อกันและกัน”
ครอบครัวคือชุมชนที่จัดให้มีการช่วยเหลือกัน ที่เฉลิมฉลองชีวิตและได้ผล
เมื่อใดที่เราตระหนักดีในเรื่องนี้
เราก็สามารถเห็นว่าครอบครัวยังคงเป็นแหล่งที่มาที่เปี่ยมด้วยความช่วยเหลือกันและกันของมนุษย์
ตรงกันข้ามกับปัญหาขององค์กรที่กำลังมีปัญหาหนัก
บางครั้งสื่อมวลชนมักจะเสนอครอบครัวในรูปแบบของตัวอย่างที่ลอยอยู่บนเวหา ซึ่งจะต้องน้อมรับหรือปฏิเสธ
ปกป้องหรือโจมตี แทนที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริง
หรือไม่ก็เป็นสนามรบเพื่อต่อสู้กัน แทนที่จะเป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ด้วยกันว่า
การสื่อสารในความรักที่ได้รับและที่มีการตอบแทน มีความหมายว่าอย่างไร
โดยสำนึกว่าชีวิตของเราผูกพันกันเป็นความจริงข้อเดียวว่า เสียงของเรานั้นมีมากมาย
และแต่ละเสียงก็มีสิ่งที่น่ารับฟัง เราควรมองดูว่าครอบครัวเป็นแหล่งที่ดี
มิใช่เป็นที่มาของปัญหาสำหรับสังคม สิ่งดีที่สุดที่ครอบครัวมอบให้สังคม
และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชายและหญิง ระหว่างบิดามารดากับลูกๆ
เรามิได้ต่อสู่เพื่อปกป้องอดีตแก่เราด้วยความอดทนและความหวัง
เรากำลังช่วยกันสร้างอนาคตที่ดีสำหรับโลกที่เราอาศัยอยู่
ให้ไว้ ณ สำนักวาติกัน วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2015
วันก่อนฉลองนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น